เมนู

เอตทัคควรรคที่ 4



1. วรรคที่ 1



อรรถกถาสูตรที่ 1



ในสูตรที่ 1 ของวรรคที่ 1 ในเอตทัคควรรค พึงทราบวินิจฉัย
ดังต่อไปนี้.
บทว่า เอตทคฺคํ ตัดบทเป็น เอตํ อคฺคํ. ก็อัคคศัพท์นี้ ในบทว่า
เอตทคฺคํ นั้น ปรากฏในอรรถว่าเบื้องต้น ในประโยค มีอาทิว่า
ที่สุด. อัคคศัพท์ ปรากฏในอรรถว่าเบื้องต้น ในประโยค มีอาทิว่า
ดูก่อนนายประตูผู้สหาย ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เราเปิดประตู สำหรับ
พวกนิครนถ์ชายหญิง. มาในอรรถว่า ปลาย ในประโยคมีอาทิว่า
บุคคลพึงเอาปลายนิ้วมือนั้นนั่นแล แตะต้องปลายนิ้วมือนั้น ปลายอ้อย
ปลายไม้ไผ่. มาในอรรถว่า ส่วน ในประโยคมีอาทิว่า ภิกษุทั้งหลาย
เราอนุญาตแบ่งส่วนเปรี้ยว ส่วนอร่อย หรือส่วนขม, ตาม
ส่วนแห่งวิหาร หรือตามส่วนแห่งบริเวณ. มาในอรรถว่า ประเสริฐ
สุด ในประโยคมีอาทิว่า ภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย มีประมาณ
เท่าใด ไม่มีเท้าก็ตาม ฯลฯ พระตถาคตปรากฏว่าประเสริฐ ุ
กว่าสัตว์เหล่านั้น. ในที่นี้ อัคคศัพท์นี้ ย่อมใช้ได้ ทั้งในอรรถว่าปลาย
ทั้งในอรรถว่าประเสริฐสุด. จริงอยู่ พระเถระเหล่านั้น ชื่อว่าอัคคะ
เพราะเป็นที่สุดบ้าง เพราะประเสริฐสุดบ้าง ในตำแหน่งอันประเสริฐ
สุดของตน เพราะฉะนั้น อรรถในบทว่า เอตทคฺคํ นี้ มีดังนี้ว่า
นี้เป็นที่สุด นี้ประเสริฐสุด. แม้ในสูตรทั้งปวงก็นัยนี้เหมือนกัน.

ก็ธรรมดาการแต่งตั้งในตำแหน่ง เอตทัคคะ นี้ ย่อมได้โดย
เหตุ 4 ประการคือ โดยเหตุเกิดเรื่อง โดยการมาก่อน โดยเป็นผู้
ช่ำชองชำนาญ โดยเป็นผู้ยิ่งด้วยคุณ ในเหตุ 4 อย่างนั้น พระเถระ
บางรูป ย่อมได้ตำแหน่งเอตทัคคะ โดยเหตุอย่างเดียว บางรูปได้
โดยเหตุ 2 อย่าง บางรูปได้โดยเหตุ 3 อย่าง บางรูปได้ด้วยเหตุ
ทั้ง 4 อย่างหมดทีเดียว เหมือนท่านพระสารีบุตรเถระ. จริงอยู่
ท่านพระสารีบุตรเถระนั้น ได้ตำแหน่งเอตทัคคะ เพราะเป็นผู้มีปัญญา
มาก โดยเหตุเกิดเรื่องบ้าง โดยเหตุการณ์มาก่อนบ้าง. อย่างไร ?
สมัยหนึ่ง พระศาสดาประทับอยู่ในพระวิหารเชตวัน ทรงแสดง
ยมกปาฏิหาริย์ ปราบพวกเดียรถีย์ ณ โคนต้นคัณฑามพฤกษ์
ไม้มะม่วงหอม ทรงดำริว่า พระพุทธเจ้าในอดีตทั้งหลาย ทรงกระทำ
ยมกปาฏิหาริย์แล้ว เข้าจำพรรษา ณ ที่ไหนหนอ ทรงทราบว่า
ณ ภพดาวดึงส์ ทรงแสดงรอยพระบาทไว้ 2 รอย รอยที่ 3 ประทับไว้
ณ ดาวดึงส์ ท้าวสักกเทวราช ทอดพระเนตรเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า
ลุกจากบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ เสด็จไปต้อนรับ พร้อมด้วยหมู่เทพดา.
เทวดาทั้งหลายคิดกันว่า ท้าวสักกเทวราช แวดล้อมไปด้วยหมู่เทพ
ประทับนั่งบนบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ยาว 60 โยชน์ เสวยมหาสมบัติ.
จำเดิมแต่พระพุทธเจ้าทั้งหลายประทับนั่งแล้ว คนอื่นไม่สามารถ
จะวางแม้แต่มือลง ณ พระแท่นนี้ได้ ฝ่ายพระศาสดา ประทับนั่ง
ณ ที่นั้นแล้ว ทรงทราบวาระจิต ของทวยเทพเหล่านั้นแล้ว ประทับนั่ง
ล้นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์หมดเลย เหมือนท่านผู้ทรงผ้าบังสุกุลผืนใหญ่
นั่งล้นตั่งน้อยฉะนั้น.

แต่ใคร ๆ ไม่ควรกำหนดว่า พระศาสดาเมื่อประทับนั่งอย่างนี้
ทรงนิรมิตพระสรีระของพระองค์ให้ใหญ่ หรือทรงทำบัณฑุกัมพล
ศิลาอาสน์ให้เล็ก. ด้วยว่าพุทธวิสัย เป็นอจินไตย (ใคร ๆ ไม่ควรคิด) ก็
พระองค์ประทับนั่งอย่างนี้แล้ว การทำพระมารดาให้เป็นกายสักขีประจักษ์
พยาน เริมทรงแสดงอภิธรรมปิฎก มีอาทิว่า กุศลธรรม อกุศลธรรม
โปรดทวยเทพในหมื่นจักรวาล

แม้ในที่ทรงทำยมกปฏิหาริย์ บริษัททั้งหมดประมาณ 2 โยชน์
เข้าไปหาพระอนุรุทธะ ถามว่า ท่านผู้เจริญ พระทสพลประทับอยู่
ณ ที่ไหน ? พระอนุรุทธะตอบว่า พระทสพลเข้าจำพรรษา ณ บัณฑุ-
กัมพลศิลาอาสน์ ในภพดาวดึงส์ เริ่มแสดงอภิธรรมปิฎก บริษัท
ถามว่า ท่านผู้เจริญ พวกข้าพเจ้า ไม่เห็นพระศาสดาก็จักไม่กลับไป
ท่านทั้งหลายจงรู้เวลาที่พระศาสดาเสด็จมาว่า เมื่อไรพระศาสดา
จักเสด็จมา พระอนุรุทธะ กล่าวว่า พวกท่านจงไว้หน้าที่แก่พระ-
มหาโมคคัลลานเถระเถิด ท่านไปเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้ว จักนำข่าว
มา. บริษัทถามว่า ก็กำลังของพระเถระที่จะไปในที่นั้นไม่มี
หรือ ? พระอนุรุทธะกล่าวอย่างนี้ว่า มีอยู่. แต่ขอบริษัทจงดูคุณ
วิเศษเถิด. มหาชนเข้าไปหาพระมหาโมคคัลลานเถระ อ้อนวอนขอให้
ท่านรับข่าวของพระศาสดาเสด็จมา. เมื่อมหาชนกำลังเห็นอยู่นั่นแหละ.
พระเถระก็ดำลงในมหาปฐพีไปภายในเขาสิเนรุ ถวายบังคมพระ
ศาสดาทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มหาชนประสงค์จะเฝ้าพระองค์
อยากจะทราบวันที่พระองค์จะเสด็จมา. พระศาสดาตรัสว่า ถ้า
อย่างนั้น เธอจงบอกว่า ท่านทั้งหลาย จะเห็นที่ประตูเมืองสังกัสสะ

ฝ่ายพระศาสดาทรงแสดงธรรม 7 คัมภีร์ แล้วทรงแสดง
อาการเพื่อเสด็จกลับมนุษยโลก. ท้าวสักกเทวราช ตรัสเรียกวิสส-
กัมมเทพบุตรมา มีเทวโองการสั่ง ให้นิรมิตบันได เพื่อพระตถาคต
เสด็จลง วิสสุกัมมเทพบุตร เนรมิตบันไดทองข้างหนึ่ง บันไดเงิน
ข้างหนึ่ง แล้วเนรมิตบันไดแก้วมณีไว้ตรงกลาง. พระศาสดาประทับ
ยืนบนบันไดแก้วมณี ทรงอธิษฐานว่า ขอมหาชนจงเห็นเรา ทรง
อธิษฐานด้วยอานุภาพของพระองค์ว่า ขอมหาชนจงเห็นอเวจีมหานรก
และทรงทราบว่า มหาชนเกิดความสลดใจ เพราะเห็นนรก จึงทรง
แสดงเทวโลก. ลำดับนั้น เมื่อพระองค์เสด็จลง ท้าวมหาพรหมกั้นฉัตร
ท้าวสักกเทวราชทรงรับบาตร. ท้าวสุยามเทวราชพัดด้วย วาลวีชนีอัน
เป็นทิพย์. ปัญจสิขคันธัพพเทพบุตร บรรเลงพิณสีเหลือง ดังผลมะตูม
ให้เคลิบเคลิ้มด้วยมุจฉนาเสียงประสาน 50 ถ้วน ลงนำเสด็จ. ใน
เวลาที่พระพุทธเจ้า ประทับยืนบนแผ่นดิน มหาชนอธิษฐานว่า
ข้าฯ จักถวายบังคมก่อน ๆ พร้อมด้วยการเหยียบมหาปฐพีของ
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทั้งมหาชน ทั้งพระอสีติมหาสาวก ไม่ทันได้
ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าก่อน. พระธรรมเสนาบดี สารีบุตร
เถระเท่านั้น ทันถวายบังคม.

ตั้งแต่นี้ล่วงไป 3 เดือน. พระเถระ นำข่าวของพระผู้มีพระภาคเจ้า
มาบอกแก่มหาชน. มหาชนตั้งค่ายอยู่ในที่นั้นนั่นเอง 3 เดือน ท่าน
จุลลอนาถบิณฑิกเศรษฐี. ได้ถวายข้าวยาคูและภัต แก่บริษัทประมาณ
12 โยชน์ ตลอด 3 เดือน.

ลำดับนั้น พระศาสดา ทรงเริ่มปุถุชนปัญจกปัญหา (ปัญหา
มีปุถุชนเป็นที่ 5) ในระหว่างบริษัท 12 โยชน์ ด้วยพระพุทธประสงค์ว่า
มหาชนจงรู้อานุภาพปัญญาของพระเถระ. ครั้งแรกตรัสถามปุถุชน
ด้วยพุทธประสงค์ว่า โลกิยมหาชน จักกำหนดได้. ชนเหล่าใด ๆ
กำหนดได้ ขนเหล่านั้น ๆ ก็ตอบได้. ครั้งที่ 2 ตรัสถามปัญหาใน
โสดาปัตติมรรค ล่วงวิสัยปุถุชน. ปุถุชนทั้งหลายก็นิ่ง. พระโสดาบัน
เท่านั้นตอบได้. ลำดับนั้นจึงตรัสถามปัญหาในสกทาคามิมรรค
ล่วงวิสัยพระโสดาบัน. พระโสดาบันก็นิ่ง. พระสกทาคามิบุคคล
เท่านั้นตอบได้. ตรัสถามปัญหาในอนาคามิมรรค ล่วงวิสัยแม้ของ
พระสกทาคามิบุคคลเหล่านั้น พระสกทาคามิบุคคลก็นิ่ง. พระอนาคามิ-
บุคคลเท่านั้นตอบได้. ตรัสถามปัญหาในอรหัตมรรค ล่วงวิสัย ของ
พระอนาคามิบุคคล แม้เหล่านั้น. พระอนาคามีก็นิ่ง. พระอรหันต์
เท่านั้นตอบได้. ตั้งแต่เงื่อนปัญหาเบื้องต่ำกว่านั้น ตรัสถามพระสาวก
ผู้รู้ยิ่ง. พระสาวกเหล่านั้นตั้งอยู่ในวิสัยแห่งปฏิสัมภิทาของตน ๆ
ก็ตอบได้. ลำดับนั้นจึงตรัสถามพระมหาโมคคัลลานเถระ. พระสาวก
นอกนั้นก็นิ่งเสีย. พระเถระเท่านั้นตอบได้. ทรงล่วงวิสัยของพระเถระ
แม้นั้น ตรัสถามปัญหาในวิสัยของพระสารีบุตร พระมหาโมคคัลลานะ
ก็นิ่งเสีย. พระสารีบุตรเถระเท่านั้นตอบได้. ทรงล่วงวิสัยแม้ของ
พระเถระ ตรัสถามปัญหาในพุทธวิสัย พระธรรมเสนาบดีแม้นึกอยู่
ก็ไม่สามารถจะเห็น มองดูไปรอบ ๆ คือ ทิศใหญ่ 4 คือทิศตะวันออก
ทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้ และทิศน้อยทั้ง 4 ก็ไม่สามารถจะ
กำหนดฐานที่เกิดปัญหาได้.

พระศาสดาทรงทราบว่า พระเถระลำบากใจ จึงทรงดำริว่า
พระสารีบุตรลำบากใจ จำเราจักแสดงแนวทางแก่เธอ จึงตรัสว่า เธอ
จงรอก่อนสารีบุตร แล้วตรัสบอกว่าปัญหานั้นเป็นวิสัยของพระพุทธเจ้า
ด้วยพระดำรัสว่า ปัญหานี้มิใช่วิสัยของเธอ เป็นวิสัยของพระสัพพัญญู
พุทธเจ้าผู้มียศ แล้วตรัสว่า สารีบุตรเธอจงเห็นภูตกายนี้. พระเถระ
รู้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสบอกการกำหนดกายอันประกอบด้วย
มหาภูตรูป 4 แล้วทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์รู้แล้ว
ข้าแต่พระสุคตเจ้า ข้าพระองค์รู้แล้ว. เกิดการสนทนากันขึ้นในที่นี้
ดังนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ชื่อว่าพระสารีบุตร มีปัญญามากหนอ ตอบ
ปัญหาที่คนทั้งปวงไม่รู้ และตั้งอยู่ในนัยที่พระพุทธเจ้าประทานแล้ว
ตอบปัญหาในพุทธวิสัยได้ ดังนั้น ปัญญานุภาพของพระเถระจึงขจร
ไปท่วมฐานะทั้งปวง เท่าที่กิตติศัพท์ของพระพุทธเจ้าขจรไป. พระ
เถระได้ตำแห่ง เอตทัคคะ เพราะมีปัญญามาก โดยอัตถุปปัตติ
(เหตุเกิดเรื่อง) ด้วยประการฉะนี้ก่อน.
ได้ตำแหน่ง เอตทัคคะ โดยการมาก่อนอย่างไร ? โดยนัย
แห่งอัตถุปปัตตินี้นี่แหละ พระศาสดา ตรัสว่า สารีบุตร เป็นผู้มี
ปัญญาแต่ในปัจจุบันนี้เท่านั้นหามิได้ ในอดีตกาล แม้เธอบวชเป็น
ฤษี 500 ชาติ ก็ได้เป็นผู้มีปัญญามากเหมือนกัน.

สาวกรูปใด ละกามที่น่ารื่นรมย์ใจแล้ว
บวชถึง 500 ชาติ ท่านทั้งหลายจงไหว้สาวก
รูปนั้น ผู้ปราศจากราคะ ผู้มีอินทรีย์ตั้งมั่นดีแล้ว
ผู้ดับสนิทแล้ว คือสารีบุตร.

ท่านเพิ่มพูนการบวชอย่างนี้ สมัยหนึ่ง บังเกิดในตระกูลพราหมณ์
ณ กรุงพาราณสี เรียนไตรเพท ไม่เห็นสาระในไตรเพทนั้น จึงเกิด
ความคิดขึ้นว่า ควรที่เราจะบวชแสวงหาโมกขธรรมสักอย่างหนึ่ง.
สมัยนั้น แม้พระโพธิสัตว์ ก็บังเกิดในตระกูลอุทิจจพราหมณ์ ผู้
มหาศาลเจริญวัยแล้ว เรียนศิลปะ เห็นโทษในกามทั้งหลายและ
อานิสงส์ในเนกขัมมะ ละการครองเรือน เข้าป่าหิมพานต์ กระทำ
บริกรรมกสิณ ทำอภิญญา 5 และสมาบัติ 8 ให้บังเกิด มีผลหมาก
รากไม่ในป่าเป็นอาหาร ใกล้หิมวันตประเทศ แม้มาณพนั้นก็บวช
แล้วในสำนักของพระโพธิสัตว์นั้นนั่นแล. ท่านมีปริวารมาก มีฤาษี
ประมาณ 500 เป็นปริวาร. ลำดับนั้นหัวหน้าอันเตวาสิกของท่าน
ได้พาบริษัทส่วนหนึ่ง ไปยังถิ่นมนุษย์เพื่อเสพรสเค็มและรสเปรี้ยว.
สมัยนั้น พระโพธิสัตว์ได้ทำกาละ (ตาย) ณ หิมวันตประเทศ
นั้นนั่นเอง. ในเวลาจะทำกาละ อันเตวาสิกทั้งหลาย ประชุมกัน
ถามว่า คุณวิเศษอะไร ที่ท่านบรรลุมีอยู่หรือ. พระโพธิสัตว์ตอบว่า
อะไร ๆ ไม่มี เป็นผู้ไม่เสื่อมฌานบังเกิดในพรหมโลกชั้นอาภัสสร.
ท่านได้อากิญจัญญายตนสมาบัติก็จริง แต่ถึงอย่างนั้น ธรรมดาว่า
พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ไม่ปฏิสนธิในอรูปาวจรภูมิ. เพราะเหตุไร ?
เพราะเป็นฐานะอันไม่ควร. ดังนั้น ท่านถึงแม้ได้อรูปสมาบัติก็
บังเกิดในรูปาวจรภูมิ. ฝ่ายอันเตวาสิกของท่าน ไม่กระทำสักการะ
และสัมมานะอะไร ๆ ด้วยคิดว่า อาจารย์กล่าวว่า อะไร ๆ ไม่มีการ
กระทำกาลกิริยาของท่านเป็นโมฆะเปล่าคุณ. ลำดับนั้นหัวหน้า
อันเตวาสิกรูปนั้น เมื่อล่วงพรรษาแล้ว จึงกลับมาแล้วถามว่า อาจารย์

ไปไหน ? อันเตวาสิกทั้งหลายตอบว่า ทำกาละเสียแล้ว. ท่านถามว่า
พวกท่านถามถึงคุณที่อาจารย์ได้บ้างหรือ ? อันเตวาสิกตอบว่า
ขอรับ พวกกระผมถามแล้ว. หัวหน้าอันเตวาสิกถามว่า ท่านพูดว่า
กระไร ? พวกอันเตวาสิก ตอบว่า อาจารย์กล่าวว่า อะไร ๆ ไม่มี
แม้พวกกระผมก็คิดว่า ชื่อว่าคุณที่อาจารย์ได้แล้ว ย่อมไม่มี จึงไม่
กระทำสักการะและสัมมานะแก่ท่าน. หัวหน้าอันเตวาสิก กล่าวว่า
พวกท่านไม่รู้ความของภาษิต ท่านอาจารย์ได้อากิญจัญญายตน-
สมาบัติ. อันเตวาสิกเหล่านั้น ก็ไม่เชื่อคำของหัวหน้าอันเตวาสิก.
หัวหน้าอันเตวาสิกแม้พูดอยู่บ่อย ๆ ก็ไม่อาจให้พวกอันเตวาสิกเชื่อได้.
ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์รำพึงถึงอยู่คิดว่า มหาชนผู้บอดเขลา ย่อม
ไม่เชื่อคำของหัวหน้าอันเตวาสิกของเรา จำเราจักกระทำเหตุนี้ให้
ปรากฏ ดังนี้แล้วลงจากพรหมโลก ยืนอยู่ท้ายอาศรมทั้งที่อยู่ในอากาศ
นั่นแล พรรณนาอานุภาพแห่งปัญญา ของหัวหน้าอันเตวาสิก ได้
กล่าวคาถานี้ว่า
ปโรสหสฺสํปิ สมาคตานํ
กนฺเทยฺยุํ เต วสฺสสตํ อปญฺญา
เอโกว เสยฺโย ปุริโส สปญฺโญ
โย ภาสิตสฺส วิชานามิ อตฺกํ


คนแม้เกิน 1000 คน ประชุมกัน ผู้ที่ไม่มี
ปัญญาพึงคร่ำครวญอยู่ตลอด 100 ปี บุคคลผู้รู้แจ้ง

ความหมายของภาษิต เป็นผู้มีปัญญา คนเดียว
เท่านั้น ประเสริฐกว่า (คนตั้ง 100 คน).


พระโพธิสัตว์ทำให้หมู่ฤาษีเข้าใจอย่างนี้แล้ว กลับไปพรหมโลก.
แม้หมู่ฤาษีที่เหลือ ไม่เสื่อมฌานทำกาลแล้ว มีพรหมโลกเป็นที่ไป
ในเบื้องหน้า ในบรรดาบบุคคลเหล่านั้น พระโพธิสัตว์บรรลุพระ
สัพพัญญุตญาณ. หัวหน้าอันเตวาสิก เป็นพระสารีบุตร. ฤาษีที่เหลือ
เป็นพุทธบริษัท แม้ในอดีตกาล ก็พึงทราบว่าพระสารีบุตรมีปัญญา
มาก สามารถรู้อรรถของภาษิตที่ตรัสไว้อย่างสังเขป โดยพิสดาร
ได้ ด้วยประการฉะนี้.
อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำ ปุถุชนปัญจกปัญหา
ให้เป็นเหตุเกิดเรื่องแล้ว ตรัสชาดกนี้ว่า

ถ้าแม้คนเกิน 100 คน ประชุมกัน คนเหล่านั้น
ไม่ปัญญา พึงเพ่งพินิจอยู่ถึง 100 ปี ผู้รู้อรรถ
ของภาษิต ผู้มีปัญญาคนเดียวเท่านั้นประเสริฐกว่า


เนื้อความของชาดกนั้น พึงทราบโดยนัยดังกล่าวแล้วในชาดก
ก่อนนั่นแล. ทรงกระทำปุถุชนปัญจกปัญหานี้แล อีกข้อหนึ่ง ให้เป็น
เหตุเกิดเรื่องแล้ว ทรงแสดงอนังคณชาดกนี้ว่า

ทั้งคนมีสัญญาก็ ทุคคตะ ทั้งคนไม่มีสัญญา
ก็ทุคคตะ สุขในสมาบัตินั่น ไม่มีเครื่องยียวน
ย่อมมีได้แก่เหล่าชนเว้นคน 2 พวกนั้น.

ก็ในชาดกนี้ อาจารย์เมื่อจะทำกาละ ถูกอันเตวาสิกทั้งหลาย
ถาม จึงกล่าวว่า เนวสัญญีนาสัญญี (ผู้มีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็
ไม่ใช่). คำที่เหลือ พึงทราบโดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล. ทรงกระทำ
ปุถุชนปัญจกปัญหาอื่นอีก ให้เป็นอัตถุปัตติแล้ว ตรัสจันทาภชาดก
นี้ว่า.

ในชาดกนี้ อาจารย์เมื่อจะทำกาละ ถูกอันเตวาสิกถาม จึงกล่าว
ว่า จนฺทาภํ สุริยาภํ หมายเอาว่า ผู้ใดหยั่งลง เข้าไป แล่นไปสู่กสิณ
ทั้ง 2 นั้นคือ โอทาตกสิน ชื่อว่า จันทาภะ ปิตกสิณ ชื่อว่าสุริยาภะ
แม้ผู้นั้นก็เข้าถึง อาภัสสรพรหมด้วยททุติยฌาน อันไม่มีวิตก เราก็
เป็นเช่นนั้น. คำที่เหลือพึงทราบโดยนัยก่อนนั่นแล. ทรงกระทำ
ปุถุชชนปัญจกปัญหานี้แล ให้เป็นอัตถุปัตติ จึงตรัสสรภชาดกใน
เตรสนิบาตนี้ว่า

เป็นบุรุษพึงหวังอยู่ร่ำไป เป็นบัณฑิตไม่พึง
เหนื่อยหน่าย เราเห็นตนอยู่ว่า ปรารถนาอย่างใด
ก็ได้เป็นอย่างนั้น เป็นบุรุษพึงพยายามร่ำไป
เป็นบัณฑิตไม่พึงเหนื่อยหน่าย เราเห็นตนอยู่ว่า
ได้รับความช่วยเหลือให้ขึ้นจากน้ำสู่บกได้ นรชน
ผู้มีปัญญา แม้ประสบทุกข์ ก็ไม่ควรตัดความหวัง
ในอันจะมาสู่ความสุข ด้วยว่าผัสสะทั้งที่ไม่
เกื้อกูลและเกื้อกูลมีมาก คนที่ไม่ใฝ่ฝันถึง ก็ต้อง
เข้าทางแต่งความตาย.

แม้สิ่งที่ไม่ได้ไว้ ก็มีได้ แม้สิ่งที่คิดไว้ก็หาย
ไปได้ โภคะทั้งหลายของสตรีหรือบุรุษ สำเร็จได้
ด้วยความคิดนึกหามีไม่ เมื่อก่อนพระองค์เสด็จ
ติดตามกวางตัวใด ไปติดที่ซอกเขา พระองค์
ทรงพระชนม์สืบมาได้ด้วยอาศัยความบากบั่น
ของกวางตัวนั้น ผู้มีจิตไม่ท้อแท้.
กวางตัวใดพยายามเอาหินถนเหว ช่วยพระ-
องค์ขึ้นจากเหวลึกที่ขึ้นได้ยาก ปลดเปลื้องพระองค์ผู้
เข้าถึงทุกข์ออกจากปากมฤตยู พระองค์กำลัง
ตรัสถึงกวางตัวนั้นผู้มีจิตไม่ท้อแท้.
ดูก่อนพราหมณ์ คราวนั้น ท่านอยู่ที่นั้นด้วย
หรือ หรือว่าใครบอกเรื่องนี้แก่ท่าน ท่านเป็นผู้เปิดเผย
ข้อที่เคลือบคุม เห็นเรื่องทั้งหมดละสิหนอ
ความรู้ของท่าน แก่กล้าหรือหนอ.
ข้าแต่พระธีรราช ผู้เป็นจอมชน คราวนั้น
ข้าพระองค์หาได้อยู่ในที่นั้นไม่ และใครก็มิได้บอก
แก่ข้าพระองค์ แต่ว่านักปราชญ์ทั้งหลาย ย่อมนำ
เนื้อความแต่งบทคาถาที่พระองค์ทรงภาษิตไว้
ดีแล้ว มาใคร่ครวญดู.


ก็ชาดกทั้ง 5 นี้ พระศาสดาตรัสไว้ เพื่อประกาศอานุภาพ
แห่งปัญญาของพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถระเท่านั้นว่า แม้ใน

อดีต บุตรของเรา ก็รู้อรรถแห่งธรรมที่เรากล่าวแต่สังเขปโดยพิสดาร
ได้ เพราะฉะนั้น พระเถระได้ตำแหน่งเอตทัคคะ เพราะความที่ตนมี
ปัญญามาก แม้โดยการมาก่อน ด้วยประการอย่างนี้.
โดยเป็นผู้ช่ำชองชำนาญอย่างไร ? ได้ยินว่าข้อนั้นเป็นความ
ช่ำชอง ของพระเถระ. พระเถระเมื่อแสดงธรรมท่ามกลางบริษัท 4
ย่อมแสดงไม่พ้นสัจจะ 4 เพราะฉะนั้นพระเถระได้เอตทัคคะ เพราะ
เป็นผู้มีปัญญามาก แม้โดยเป็นผู้ช่ำชองชำนาญ ด้วยประการฉะนี้.
โดยยิ่งด้วยคุณอย่างไร ? จริงอยู่ เว้นพระทสพลเสีย คนอื่น
ใครเล่าแม้เป็นสาวกเอก ที่จะเสมอเหมือนพระธรรมเสนาบดีสารีบุตร
ย่อมไม่มี เพราะท่านเป็นผู้มีปัญญามาก เพราะฉะนั้น พระเถระได้
ตำแหน่งเอตทัคคะ เพราะมีปัญญามาก แม้โดยยิ่งด้วยคุณ ด้วย
ประการฉะนี้.
ก็แม้พระมหาโมคคัลลานะก็เหมือนพระสารีบุตรเถระ ได้
ตำแหน่งเอตทัคคะด้วยเหตุแม้ 4 ประการนี้ทั้งหมด ได้อย่างไร ?
ก็พระเถระมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก ทรมานนาคราช เช่นนันโทปนันท-
นาคราช เพราะฉะนั้น พระเถระย่อมได้โดยอัตถุปปัตติเหตุเกิดเรื่อง
อย่างนี้ เป็นอันดับแรก. ก็พระเถระนี้มิใช่เป็นผู้มีฤทธิ์มาก แต่ใน
ปัจจุบันเท่านั้น ถึงในอดีต แม้ท่านบวชเป็นฤาษี ก็เป็นผู้มีฤทธิ์มาก
มีอานุภาพมากถึง 500 ชาติแล.
สาวกใด ละกามทั้งหลาย อันเป็นที่รื่นรมย์ใจ
บวช 500 ชาติ ท่านทั้งหลายจงไหว้พระสาวก

นั้น ผู้ปราศจากราคะ ผู้มีอินทรีย์ตั้งมั่นแล้ว ดับ
สนิทแล้ว คือโมคคัลลานะ แล.


ก็ท่านได้แม้โดยการมาก่อนอย่างนี้. ก็ข้อนี้เป็นความช่ำชองของ
พระเถระ. พระเถระไปนรก อธิษฐานความเย็น เพื่อให้เกิดความ
เบาใจ แก่สัตว์ทั้งหลายในนรก ด้วยกำลังฤทธิ์ของตนแล้ว เนรมิต
ดอกปทุมขนาดเท่าล้อ นั่ง ณ กลีบปทุม แสดงธรรมกถา. ท่านไป
เทวโลก ทำทวยเทพให้รู้คติแห่งกรรม แล้วแสดงสัจจกถา. เพราะ
ฉะนั้น ท่านจึงได้ โดยเป็นผู้ช่ำของชำนาญอย่างนี้.
ได้โดยยิ่งด้วยคุณอย่างไร ? เว้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว
พระสาวกอื่น ใครเล่า ย่อมไม่มี เพราะฉะนั้น พระเถระได้ตำแหน่ง
เอตทัคคะ โดยยิ่งด้วยคุณอย่างนี้.
แม้พระมหากัสสปเถระ ก็ได้ตำแหน่งเอตทัคคะ โดยเหตุ
ทั้งหมดนี้ เหมือนพระมหาโมคคัลลานะนี้. ได้อย่างไร ? ความจริง
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงการทำการต้อนรับพระเถระสิ้นระยะทาง
ประมาณ 3 คาวุต ทรงให้อุปสมบทด้วยโอวาท 3 ทรงเปลี่ยนจีวร
ประทานให้. ในสมัยนั้น มหาปฐพี ไหวถึงน้ำรองแผ่นดิน. เกียรติคุณ
ของพระเถระ ก็ขจรท่วมไประหว่างมหาชน. ท่านได้โดยอัตถุปปัตติ

สาวกใด ละกามทั้งหลาย อันน่ารื่นรมย์ใจ
บวช 500 ชาติ ของท่านทั้งหลายจงไหว้สาวกนั้น
ผู้ปราศจากราคะ ผู้มีอินทรีย์ตั้งมั่นดีแล้ว ผู้ดับ
สนิท คือ กัสสปะแล.

ท่านได้โดยการมาอย่างนี้. ความจริงข้อนั้น เป็นความช่ำชอง
ของพระเถระ. ท่านอยู่ท่ามกลางบริษัท 4 เมื่อแสดงธรรม ย่อมแสดง
ไม่ละเว้นกถาวัตถุ 10 เลย เพราะฉะนั้น พระเถระได้โดยเป็นผู้
ช่ำชองอย่างนี้. เว้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสีย สาวกอื่น ใครเล่า
ผู้เสมอเหมือนพระมหากัสสปะ ด้วยธุดงคคุณ 13 ไม่มี เพราะฉะนั้น
พระเถระได้โดยยิ่งด้วยคุณอย่างนี้.
ควรประกาศคุณของพระเถระทั้งหลายนั้น ๆ ตามที่ได้โดย
ทำนองนี้. จริงอยู่ เมื่อว่าด้วยอำนาจคุณนั่นแล พระเจ้าจักรพรรดิ์
ทรงเสวยสิริราชสมบัติ ในห้องจักรวาล ด้วยอานภาพแห่งจักรรัตนะ
หาได้ทรงขวนขวายน้อยว่า สิ่งที่ควรบรรลุเราก็บรรลุแล้ว บัดนี้
จะต้องการอะไร ด้วยมหาชนที่เราแลอยู่แล้ว จึงเสวยแต่เฉพาะ
สิริราชสมบัติเท่านั้นไม่ แต่ทรงประทับนั่งในโรงศาลาตามกาลอัน
สมควร ทรงข่มบุคคลที่ควรข่ม ทรงยกย่องบุคคลที่ควรยกย่อง
ทรงตั้งไว้ในฐานันดรทั้งหลาย เฉพาะฐานันดรที่ควรแต่งตั้งเท่านั้น
ฉันใด พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ฉันนั้นเหมือนกัน แม้เป็นพระธรรมราชา
ผู้บรรลุความเป็นพระราชาเพราะธรรมโดยลำดับ ด้วยอานุภาพแห่ง
พระสัพพัญญุตญาณ ที่พระองค์ทรงบรรลุ ณ มหาโพธิมัณฑสถาน
ไม่ทรงขวนขวายน้อยว่า บัดนี้จะต้องการอะไร ด้วยชาวโลก ที่เรา
จะต้องตรวจดู เราจักเสวยสุขในผลสมาบัติ อันยอดเยี่ยม ยังประทับ
นั่งบนบวรพุทธอาสน์ ที่เขาบรรจงจัดไว้ ท่ามกลางบริษัท 4. ทรง
เปล่งพระสุรเสียงดังเสียงพรหม อันประกอบด้วยองค์ 8 แล้วทรง
แสดงธรรม ทรงข่มบุคคล ผู้มีธรรมฝ่ายดำ ผู้ควรข่มด้วยการขู่
ด้วยภัยในอบาย เหมือนทรงโยนไปในเหวแห่งขุนเขาสิเนรุ ทรง

ยกย่องบุคคลผู้มีธรรมอันดี ผู้ควรยกย่อง เหมือนยกขึ้นให้นั่งใน
ภวัคคพรหม ทรงตั้งพระสาวกมีพระอัญญาโกณฑัญญเถระ เป็นต้น
ผู้ควรตั้งไว้ในฐานันดรทั้งหลาย ให้ดำรงในฐานันดรทั้งหลาย ด้วย
อำนาจคุณ พร้อมด้วยกิจคือหน้าที่ตามความเป็นจริงนั่นแล จึงตรัส
คำมีอาทิว่า ภิกษุทั้งหลาย บรรดาภิกษุสาวกของเราผู้รัตตัญญู
รู้ราตรีนาน อัญญาโกณฑัญญะ เป็นเลิศ ดังนี้.

เรื่องพระอัญญาโกณฑัญญเถระ



บทว่า เอตทคฺคํ ในบาลีนั้น มีอรรถได้กล่าวไว้แล้วทั้งนั้น.
บทว่า รตฺตญฺญูนํ แปลว่า ผู้รู้ราตรี. จริงอยู่ เว้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เสีย สาวกอื่น ชื่อว่า ผู้บวชก่อนท่านพระอัญญาโกณฑัญญเถระ. ไม่มี
เพราะเหตุนั้น พระเถระย่อมรู้ราตรีตลอดกาลนาน จำเดิมตั้งแต่บวช
เหตุนั้น ท่านจึงชื่อว่า เป็นรัตตัญญู. เพราะท่านแทงตลอดธรรม
ก่อนใครทั้งหมด ท่านรู้ราตรีที่แจ้งธรรมนั้นมานาน แม้เพราะ
เหตุนั้น ท่านจึงชื่อว่า รัตตัญญู. อีกอย่างหนึ่ง การกำหนดคืนและ
วันของท่านผู้สิ้นอาสวะทั้งหลายเป็นของปรากฏชัด. และพระอัญญา-
โกณฑัญญเถระนี้ เป็นผู้สิ้นอาสวะก่อน เพราะเหตุนั้น พระอัญญา-
โกณฑัญญะนี้แล เป็นผู้เลิศ เป็นยอดคนแรก เป็นผู้ประเสริฐสุด
แห่งเหล่าสาวกผู้รัตตัญญู แม้ด้วยประการอย่างนี้ เพราะเหตุนั้น
จึงตรัสว่า รตฺตญฺญูนํ ยทิทํ อญฺญาโกณฺฑญฺโญ ดังนี้.
ก็ศัพท์ ยทิทํ ในบาลีนี้ เป็นนิบาต (ถ้า) เพ่งเอาพระเถระนั้น
มีอรรถว่า โย เอโส เพ่งอัคคศัพท์ มีอรรถว่า ยํ เอตํ. บทว่า อญฺญา-